战国时代,有一个叫公明仪的音乐家很会弹琴。很多人都喜欢听他弹琴,人们很敬重他。
一天,公明仪在郊外游玩时,看到了一头牛。他想:大家都赞扬他的琴技,不如我给牛也弹一曲吧!给牛弹奏了一曲古雅的曲子,牛埋头吃草不理他。
他又弹奏了一曲欢快的曲子,牛依然埋头吃草不理他。公明仪拿出自己的全部本领,结果牛还是不理会他。
公明仪非常失望,开始怀疑自己的琴技。路人说:“不是你弹的琴不好,而是牛根本听不懂啊!”
ในสมัยจ้านกั๋ว มีนักดนตรีคนหนึ่งชื่อ กงหมิงอี้ เขาสามารถตีขิมได้
มีคนจำนวนมากชอบฟังเขาตีขิมมาก
ผู้คนเคารพเลื่อมใสเขามาก
มีอยู่วันหนึ่ง
กงหมิงอี้ไปเที่ยวเล่นที่ชานเมือง เหลือบไปเห็นวัวตัวหนึ่ง
เขาคิดว่า “ทุกคนต่างชื่นชอบเพลงที่เขาบรรเลง
งั้นลองเบรรเลงให้วัวฟังสักเพลงดูสิ
” เขาบรรเลงเพลงที่ไพเราะให้วัวฟัง แต่วัวกลับไม่สนใจเพลงที่เขาบรรเลงเลย
เขาบรรเลงเพลงที่สนุกสนานอีกเพลงหนึ่ง วัวกลับไม่สนใจอีก กงหมิงอี้ได้แสดงความรู้ความสามารถที่เขามีอยู่ทั้งหมดออกมา ผลที่ออกมาวัวกลับไม่สนใจเขาเลย เขารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก และเริ่มสงสัยว่าเรื่องการบรรเลงเพลงของเขาเอง มีคนเดินผ่านมาบอกกลับเขาว่า
“ไม่ใช่การบรรเลงเพลงของท่านไม่ดี
แต่อยู่ที่วัวมันฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว”
สรุป
นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง “สีซอให้ควายฟัง
” อุปมาถึง การพูดเรื่องเหตุผลกับคนที่ไม่มีเหตุผลว่าเป็นการเสียแรงเปล่า
และมักจะใช้พูดเสียดสีหรือล้อคนที่เอาแต่พูดโดยไม่สนใจคนฟัง