วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

第十六课 对牛弹琴





战国时代,有一个叫公明仪的音乐家很会弹琴。很多人都喜欢听他弹琴,人们很敬重他。
一天,公明仪在郊外游玩时,看到了一头牛。他想:大家都赞扬他的琴技,不如我给牛也弹一曲吧!给牛弹奏了一曲古雅的曲子,牛埋头吃草不理他。
他又弹奏了一曲欢快的曲子,牛依然埋头吃草不理他。公明仪拿出自己的全部本领,结果牛还是不理会他。
公明仪非常失望,开始怀疑自己的琴技。路人说:不是你弹的琴不好,而是牛根本听不懂啊!




“สีซอให้ควายฟัง”

    ในสมัยจ้านกั๋ว  มีนักดนตรีคนหนึ่งชื่อ กงหมิงอี้  เขาสามารถตีขิมได้ มีคนจำนวนมากชอบฟังเขาตีขิมมาก  ผู้คนเคารพเลื่อมใสเขามาก   มีอยู่วันหนึ่ง  กงหมิงอี้ไปเที่ยวเล่นที่ชานเมือง  เหลือบไปเห็นวัวตัวหนึ่ง เขาคิดว่า “ทุกคนต่างชื่นชอบเพลงที่เขาบรรเลง  งั้นลองเบรรเลงให้วัวฟังสักเพลงดูสิ  ” เขาบรรเลงเพลงที่ไพเราะให้วัวฟัง แต่วัวกลับไม่สนใจเพลงที่เขาบรรเลงเลย

     เขาบรรเลงเพลงที่สนุกสนานอีกเพลงหนึ่ง   วัวกลับไม่สนใจอีก  กงหมิงอี้ได้แสดงความรู้ความสามารถที่เขามีอยู่ทั้งหมดออกมา  ผลที่ออกมาวัวกลับไม่สนใจเขาเลย   เขารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก   และเริ่มสงสัยว่าเรื่องการบรรเลงเพลงของเขาเอง   มีคนเดินผ่านมาบอกกลับเขาว่า “ไม่ใช่การบรรเลงเพลงของท่านไม่ดี  แต่อยู่ที่วัวมันฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว”  


สรุป

นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง “สีซอให้ควายฟัง ”  อุปมาถึง  การพูดเรื่องเหตุผลกับคนที่ไม่มีเหตุผลว่าเป็นการเสียแรงเปล่า  และมักจะใช้พูดเสียดสีหรือล้อคนที่เอาแต่พูดโดยไม่สนใจคนฟัง

第十五课 塞翁失马







有一个住在边塞的老汉叫塞翁,他家养的马迷了路,回不来了。邻居们都觉得很可惜,可塞翁却一点都不难过。


他说:丢了马本是坏事,但谁知道他不会带来好的结果呢?没过多久,那匹马回来了,而且还带来了一匹胡人骑的骏马。

邻居们都来祝贺他,可塞翁说:谁知道它会不会带来坏的结果呢?结果,塞翁的儿子因太喜欢骑这匹骏马,不小心摔断了腿。
    
    邻居们又替他难过,可塞翁又说:谁知道他不会带来好结果呢?一年后,胡人侵略中原,年轻人都去打仗,很多人都死了。塞翁的儿子却为腿瘸了不用去打仗,保住了生命。

    所以说,有时候坏事会变成好事,好事也能变成坏事。




“ไซ่เวิงเสียม้า”

     มีชายผู้เฒ่าคนหนึ่งอาศัยอยู่แถบบริเวณชายแดนมีชื่อว่า “ไซ่เวิง”   มีอยู่วันหนึ่งม้าที่เขาลี้ยงไว้หายไปเพราะว่าหลงทาง  เพื่อนบ้านของเขารู้สึกเสียดายแทนเขาเป็นอย่างมาก   แต่ว่าท่าทีของไซ่เวิงไม่ได้เสียใจแม้แต่น้อย

     เขาบอกกับเพื่อนบ้านว่า “ม้าหายเป็นเรื่องไม่ดีก็จริง  แต่ใครจะไปรู้ว่าไม่แน่มันอาจจะกลับกลายเป็นเรื่องดีก็ได้ ”  เวลาผ่านไปได้ไม่นาน   ม้าฝูงที่หายไปได้กลับมา  แถมยังมาพร้อมกับม้าพันธุ์ดีฝูงหนึ่งอีกด้วย

     เพื่อนบ้านทราบเรื่องต่างก็พากันมาแสดงความยินดีกับเขาด้วย  แต่ไซ่เวิงกลับบอกเพื่อนบ้านไปว่า “ใครจะไปรู้ไม่แน่มันอาจจะนำเรื่องไม่ดีมาให้ก็ได้”  แต่แล้วลูกชายของไซ่เวิงก็ขาหัก เพราะชอบขี่ม้าพันธุ์ดีนั้นไม่ระมัดระวังจนเกิดอุบัติเหตุ

     เพื่อนบ้านต่างพากันเสียใจแทนเขา    แต่ไซ่เวิงกลับตอบไปอีกว่า  “ใครจะไปรู้ ไม่แน่ที่ลูกชายข้าขาหัก มันอาจจะนำเรื่องดีมาให้ก็ได้” หลังจากนี้หนึ่งปี  ชาวต่างแดนรุกรานชาวเหอเป่ย  เกิดสงคราม  พวกเหล่าชายหนุ่มทั้งหลายถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร  มีผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตในสงคราม

     ลูกชายของไซ่เวิง ไม่ได้ไปออกรบด้วยเนื่องจากว่า พิการขาหัก ทำให้เขารอดชีวิตได้   


สรุป

นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง “ไซ่เวิงเสียม้า ”  อุปมาถึง   บางครั้งเรื่องไม่ดีก็สามารถกลับกลายเป็นเรื่องดี  เรื่องดีก็สามารถกลับกลายเป็นเรื่องไม่ดีได้เช่นกัน
 
 
  
 


第十四课 掩耳盗铃












“อุดหูขโมยกระดิ่ง”

     ในสมัยก่อนมีชายคนหนึ่งเป็นคนที่ชอบเห็นแก่ตัวมาก  ชอบไปขโมยของคนอื่นมาเพื่อเป็นของตนเอง มีอยู่วันหนึ่ง เขาเดินผ่านประตูหน้าบ้านหลังหนึ่ง  เขาพบกระดิ่งอันสวยงามแขวนไว้ที่ประตูหน้าบ้าน

     เขาอยากได้กระดิ่งนั้นเป็นอย่างมาก  แต่ว่า  จะทำอย่างไรให้ได้กระดิ่งนั้นมานะ  จู่ๆเข้าไปขโมยกระดิ่งมา กระดิ่งก็จะดัง  คนอื่นก็จะมาเห็นเข้า

     เขาคิดแล้วคิดอีก  ก็คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี   ในที่สุด  เขาก็คิดวิธีที่จะไปขโมยกระดิ่งมา โดยการอุดหูของตัวเอง เท่านี้ก็จะไม่ได้ยินเสียงของกระดิ่งแล้วไม่ใช่เหรอ   เขารู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นคนที่ฉลาดมาก  ที่สามารถคิดวิธีแบบนี้ออกมาได้

     ดังนั้นวันนั้นตอนเย็น  เขาได้ใช้สำลีอุดหูของตัวเอง  ไปขโมยกระดิ่ง  พอเขาใช้มือไปจับกระดิ่งเท่านั้นแหละ   เสียงกระดิ่งก็ดังขึ้น  เจ้าของบ้านก็รีบวิ่งมาดูและจับเขาไว้ได้ในที่สุด 


สรุป

นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง “อุดหูขโมยกระดิ่ง”  อุปมาถึง คนโง่ที่หลอกตัวเองได้   แต่หลอกคนอื่นไม่สำเร็จ  และเป็นข้อเตือนใจว่าอย่าทำเรื่องโง่ที่หลอกทั้งตัวเองและคนอื่น

 



第十三课 杞人忧天















“ชาวแคว้นฉี่กลุ้มใจเรื่องฟ้าถล่ม”

    ในสมัยก่อนสมัยรัฐฉี่  มีชายขี้คลาดตาขาวคนหนึ่ง   เขาชอบคิดปัญหาหรือเรื่องที่แปลกๆอยู่เสมอ   มีอยู่วันหนึ่ง  เขานั่งรับลมที่ลานหน้าบ้าน  ทันใดนั้นรู้สึกเป็นกังวลว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา

     เขาบอกว่า “ถ้าท้องฟ้าถล่มลงมาจริงๆ  พวกเราจะทำยังไงกันนะ”  หลังจากนั้นเป็นต้นมา  เกือบทุกวันเขาจะกลัดกลุ้มเรื่องนี้มาก

     เพื่อนๆได้ทราบข่าว  จึงรีบไปอบรมสั่งสอนเขาบอกว่า “ท้องฟ้าเป็นแค่อากาศธาตุชนิดหนึ่งเท่านั้น ท่านจะกลัดกลุ้มเรื่องฟ้าจะถล่มไปทำไมกัน”

     ชาวแคว้นฉี่บอกว่า “ถ้าท้องฟ้าเป็นแค่อากาศธาตุ  งั้นพระอาทิตย์  พระจันทร์  ดวงดาวที่อยู่บนอากาศธาตุ  มันจะไม่ล่วงตกลงมาเชียวหรือ”

     เพื่อนของเขาตอบกลับไปว่า “พระอาทิตย์  พระจันทร์  ดวงดาวมันก็เกิดจากเหล่าอากาศธาตุมารวมตัวกันนั้นแหละ  ถ้าจะล่วงตกลงมาก็ ไม่เป็นอัตรายต่อมนุษย์แน่นอน” หลังจากได้รับการอบรมสั่งสอนจากเพื่อนของเขาแล้ว  ชาวแคว้นฉี่ผู้นี้ก็ตาสว่างขึ้น



สรุป

นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง “ชาวแค้นฉี่กลุ้มใจเรื่องฟ้าถล่ม”  อุปมาถึง การกลัดกลุ้มกังวลใจโดยไม่จำเป็น หรือโดยใช่เหตุ  



第十二课 毛遂自荐














“เหมาสุ่ยเสนอตัวเอง”

เหมาสุ่ยทำงานที่ผิงหยวนจวิน 3 ปีแล้ว   แต่ว่ากลับถูกมองข้าม   มีอยู่ครั้งหนึ่ง สถานการณ์ของรัฐจ้าวกำลังตกอยู่ในอันตราย   มีความต้องการกำลังคนช่วยเหลือจำนวน 20  คน  ทหารที่ราบได้เลือกเหลือคนที่จะไปช่วยเหลือรัฐจ้าว  เลือกแล้วเลือกอีก  แต่ขาดอีกหนึ่งคน

คนว่างงานอย่างเหมาสุ่ยก็ได้เสนอตัวเอง  บอกว่าตัวเองนั้นคือสว่านที่ถูกเก็บไว้ในถุง สามารถส่องแสงออกมาเมื่อไหร่ก็ได้  ทหารราบรู้สึกสงสัย แต่ว่าก็ได้ตอบตกลงเขาไป  พอไปถึงรัฐฉู่  ทหารราบและกษัตริย์รัฐฉู่ได้ปรึกษาหารือเรื่องการส่งทหารเข้าช่วยเหลือรัฐจ้าว  แต่ว่ากษัตริย์รัฐฉู่ไม่เห็นด้วย

เหมาสุ่ยรู้สึกว่าเวลาไม่เคยคอยใคร  มือหนึ่งถือดาบพุ่งตรงไปเผชิญหน้าต่อกษัตริย์รัฐฉู่  เขาได้พูดเรื่องการใช้ทหารช่วยรัฐจ้าวมีผลดีต่อรัฐฉู่ยังไงบ้าง  เขาได้วิเคราะห์ได้ดีเลยทีเดียว

คำพูดของเหมาสุ่ย  ทำให้กษัตริย์รัฐฉู่รู้สึกเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง   รีบตกลงเรื่องส่งทหารไปช่วยเหลือรัฐจ้าว


สรุป

นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง “เหมาสุ่ยเสนอตัวเอง” อุปมาถึง  การอาสาและเสนอตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยคนอื่นและโดยที่ไม่มีใครเชื้อเชิญ 

 



第十一课 滥竽充数











        
         
          “ลักไก่”

    ในสมัยก่อน  กษัตริย์ของรัฐฉี่ชอบฟังคนเป่าขลุ่ยเป็นอย่างมาก  กษัตริย์องค์นี้มีนักดนตรีประมาณ 300 คน  เนื่องจากเขาเป็นคนชอบความสนุกสนาน  ครึกครื้น  เวลาเป่าขลุ่ยก็จะมีคนเป่า 300  คนตลอดเลย

     มีชายคนหนึ่งชื่อว่าหนานกัวได้ยินข่าวว่าเป็นงานอดิเรกของกษัตริย์องค์นี้  ก็เลยหาทางหาเงินโดยการเป่าขลุ่ย  เขาก็เลยวิ่งไปบอกกับกษัตริย์ว่า  “กษัตริย์พระเจ้าค่ะ  ข้าเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง  การเป่าขลุ่ยก็เป่าได้ดีมาก”

     กษัตริย์ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจมาก  รีบส่งเขาไปร่วมวงเป่าขลุ่ยกับนักดนตรี 300 คนนั้น  แท้ที่จริงแล้วผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป่าขลุ่ยเป็นเลยแม้แต่นิดเดียว  เขาแอบปะปนกับนักดนตรี 300 คนเท่านั้น  ทุกครั้งก็ทำทีว่าเป่าขลุ่ยเป็น  เพื่อหลอกกษัตริย์และเงินของกษัตริย์เป็นจำนวนมาก

เวลาผ่านไปไม่นาน  กษัตรย์ฉี่หมิ่นได้ขึ้นครองราชย์   เขาชอบให้นักดนตรี 300 คน เล่นดนตรีเดี่ยวให้เขาฟัง  เมื่อหนานกัวได้ฟังเช่นนั้น  ก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว  จึงเก็บกระเป๋าแอบเผ่นหนีไป 


สรุป
นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง “ลักไก่” อุปมาถึง  คนที่ไม่มีความสามารถอย่างแท้จริง  แต่ได้ปะปนเข้าไปอยู่ในหมู่ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญและแสแสร้งทำทีว่ารู้ว่าเป็นไปเขาด้วย

第十课 铁杵成针










   

 “ฝนทั่งให้เป็นเข็ม”

     หลี่ป๋ายเป็นนักกวีในรัฐสมัยถัง   แต่ว่าตอนสมัยตอนเด็กๆหลี่ป๋ายไม่ชอบเรียนหนังสือ  ชอบวิ่งเล่นไปทั่ว   หลี่ป๋ายเดินผ่านกระท่อมหลังหนึ่ง   หน้ากระท่อมมีคุณยายแก่ๆคนหนึ่งนั่งอยู่

     คุณยายกำลังนั่งฝนทั่งหนาๆเล่มหนึ่ง  หลี่ป๋ายก็เลยถามคุณยายว่ากำลังทำอะไรอยู่   คุณยายตอบว่า “ยายจะฝนทั่งที่หนาๆให้เป็นเข็ม” หลี่ป๋ายพูดด้วยความตกใจว่า “ทั่งหนาขนาดนี้  แล้วเมื่อไหร่ถึงจะฝนให้เป็นเข็มซะทีละ ” คุณยายยิ้มและบอกกับหลี่ป๋ายว่า  “ขอเพียงแต่ยายขยันมากกว่าคนอื่น  ไม่มีอะไรที่จะทำไม่สำเร็จ”

     หลี่ป๋ายเห็นคุณยายขยันทำงาน  แต่ตัวเองกลับได้แต่เล่นอย่างเดียว  ไม่สมควรเลยจริงๆ  เขารู้สึกละอายใจมาก  นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลี่ป๋ายก็ไม่เคยหนีเรียนอีกเลย  เริ่มตั้งใจและขยันเรียนมากกว่าคนอื่นมากขึ้น

     ในที่สุด  หลี่ป๋ายก็กลายเป็นนักกวีโด่งดังด้วยความขยันและมุมานะของตัวเอง  ฝนทั่งให้เป็นเข็มก็คือถ้าหากเรามีความตั้งใจ   ขยันขันแข็ง  ถึงแม้ว่าจะยากและเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็จะสามารถทำได้

       

สรุป

นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง “ฝนทั่งให้เป็นเข็ม” สอนให้รู้ว่า  งานทุกอย่างไม่ว่าจะยากลำบากหรือมีอุปสรรคมากแค่ไหนก็ล้วนแต่สำเร็จลงได้ด้วยความอดทนและมุมานะพยายาม
 
 


第九课 杯弓蛇影


                                                       














                   
                   “เงาอสรพิษของธนูในจอกสุรา”

     มีอยู่วันหนึ่ง  เล้อกวงได้เชิญเพื่อนของเขามาดื่มสุราที่บ้าน  ในขณะที่เพื่อนของเขากำลังดื่มสุราอยู่นั้น ก็เหลือบไปเห็นแก้วสุราของตนเองมีเงาของงูตัวเล็กๆตัวหนึ่ง  เขาตกใจกลัวมาก แต่ว่าก็ดื่มสุราแก้วนั้นเข้าไป หลังจากที่ดื่มเข้าไปแล้ว  เขารู้สึกไม่สบายใจ กังวลใจ  พอกลับถึงบ้านก็ล้มป่วยลง

ผ่านไปสองสามวัน  เล้อกวงได้ยินข่าวว่าเพื่อนของเขาไม่สบาย  จึงไปเยี่ยมหา  ถามไถ่ถึงสาเหตุการป่วยของเพื่อน  เพื่อนของเล้อกวงบอกกับเล้อกวงว่า  “ตอนที่ข้าดื่มสุรากับท่านวันก่อนนั้น  แก้วที่ข้าดื่มมีงูอยู่ด้วย”  เล้อกวงคิดในใจ  “ในแก้วสุราจะมีงูอยู่ในนั้นได้อย่างไรกัน”   ดังนั้นเล้อกวงก็รีบวิ่งตรวจดูสถานที่ที่ได้นั่งดื่มสุรากัน
แท้ที่จริงแล้ว  บนกำแพงของห้องโถงมีธนูแขวนไว้อยู่   เงาของธนูจึงตกมายังแก้วสุราของเพื่อนเขาที่วางไว้  ดังนั้นเล้อกวงจึงรีบวิ่งไปหาเพื่อนที่บ้าน   แล้วอธิบายและเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนของเขาฟัง  หลังจากที่เพื่อนของเขารู้สาเหตุที่แท้จริงแล้ว  อาการป่วยของเขาก็เริ่มดีขึ้น 

                     สรุป
นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง “เงาอสรพิษในจอกสุรา” สอนให้รู้ว่า อย่าตื่นตระหนกตกใจโดยใช่เหตุ